ปี 1 นั้น สำคัญไฉน
ณ วันที่เขียน ก็จบปี 1 (ไม่จริง) มาสักพักแล้ว ---> เดี๋ยวจะบอกว่าทำไมถึงจบไม่จริง
ปี 1 คือปีที่เป็นน้องเล็กสุดสำหรับชีวิตมหาวิทยาลัย อันนี้ไม่นับเรื่องอายุนะ เพราะจะมีบางคนที่ "ซิ่ว" มา (#Me)
ปี 1 จัดได้ว่าเป็นปีแห่งการปรับตัวเลยก็ว่าได้ จากการที่สอบตกแล้วซ่อมได้ ตัดเกรดตามเกณฑ์ การมีเช็คชื่อเข้าห้องเรียน เคารพธงชาติ เป็นตื่นสายได้ เข้าเรียนจะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ (ถ้าวิชานั้นไม่มีเช็คชื่อ) มีน (Mean) คืออะไรที่สำคัญต่อชีวิตมากๆ งานนี้คิดว่าทุกคนคงเก่งเรื่องสถิติอย่างง่ายกันเลยทีเดียว เกรดก็ตัดตามเกณฑ์บ้าง กลุ่มบ้าง หรือตัดทั้งคู่ ซึ่งก็คือ ตัด F (0) ที่ 40 คะแนน A ที่ 95 คะแนน ที่เหลือตามเกณฑ์ สอบ 100% คือเรื่องปกติ
ในเรื่องการลงทะเบียนเรียน ในระบบของแต่ละมหาวิทยาลัยจะต่างกันไป อย่างเช่น ม. รัฐ แห่งหนึ่งย่านรังสิตจะมีระบบขอโควตาก่อน แล้วค่อยลงทะเบียนได้ หรือมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่จะเป็นกดลงทะเบียนได้เลย แต่ที่เหมือนกันคือการล็อคหมู่เรียน ซึ่งก็คือการล็อกที่ไว้ให้เราลงเรียนตามหลักสูตร แต่หลังจะนั้นจะเข้าสู่ช่วงปลดล็อก คือทุกคนสามารถลงทะเบียนได้ทุกราบวิชาที่สามารถลงได้ ทีนี้ก็จะมีการเปลี่ยนอาจารย์กันอย่างสนุกสนานกันเลยทีเดียว
วิชาที่เรียนก็จะมีส่วนที่คล้ายกับช่วงมัธยมบ้าง (เป็นส่วนน้อย) หนังสือเรียนเริ่มมีบทบาทน้อยลง (ในบางวิชา) สิ่งเล็กๆที่เรียกว่า "ร้านถ่ายเอกสาร" หรือ "ของมรดก" จะมีค่ามาก เพราะเราจะต้องตามหาชีทสรุป (ที่ทำให้เราอ่านน้อยลง) หรือชีทเรียนในบางรายวิชา อาจารย์ก็จะมาวางไว้ที่ร้านถ่ายเอกสารตามตึกเรียน (บางร้านอาจจะอยู่ในที่ที่คิดไม่ถึงก็ได้) และในวิชาเรียนก็จะแตกเป็น 2 สายใหญ่ๆ คือวิชาในคณะ วิชานอกคณะ และวิชากลาง ความสำคัญก็จะเริ่มต่างกัน
เกรด จะเป็นอะไรที่สัมผัสได้ เริ่มที่จะต้องประเมินตัวเองว่าไหวไหม ดรอปดีรึเปล่า ต้องพิจารณาถึงสิ่งรอบข้าง มีนคือปัจจัย และ "ตัวเอง" คือคนตัดสิน
กิจกรรมมากมายที่จะได้สัมผัส รุ่นพี่ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต เพื่อนฝูงจากทุกสารทิศที่ทำความรู้จักกัน กิจกรรมที่ว่าไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดเท่านั้น แต่รวมถึงกิจกรรมคณะ การรับน้อง กิจกรรมนามมหาวิทยาลัย ค่ายต่างๆ ค่ายอาสา ชมรมต่างๆและอีกอื่นๆอีกมากมาย ข้อดีคือ "ฟรี" ตลอดงาน แต่อีกมุมหนึ่งคือเป็นการสืบทอดทายาด (พี่เมทบอกว่าเป็นการ "คายตะขาบ" ต่อสายเลือด) มีการปลูกฝั่งความรัก ความภาคภูมิใจในคณะ และมหาวิทยาลัย ในทางกลับกับ ปีอื่นๆก็ต้องชดใช้กรรมโดยการจัดกิจกรรมตามที่ได้รับการปลูกฝังมา
สำหรับในมหาวิทยาลัยที่เรียน ปี 1 จะเป็นปีที่ทุกคนเรียนเหมือนกันหมดทุกภาค มีวิชาคณะ 2 ตัวที่สลับกันเรียน และเป็นวิชาสำคัญมีผลต่อการสอบใบ กว. นั่นก็คือวิชา Engineering Drawing และ Computer and Programing ซึ่งในปีที่ 2 จะเริ่มเข้าวิชาภาค
ความรับผิดชอบ ที่ต้องเพิ่มมากขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะที่มหาวิทยาลัยไม่มีใครมาจ้ำจี้จ้ำไชคุรให้มานั่งอ่านหนังสือ หรือส่งงาน มีแต่จะส่งหรือไม่ส่ง จะอ่านหนังสือหรือไม่อ่านทุกอย่างก็อยู่ที่ความรับผิดชอบของคุณทั้งสิ้น (ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องอ่านกันทั้งนั้น)
เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ย่อมมีความหลากหลายมากขึ้น ทุกคนมาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งในและนอกคณะ ในภาคและนอกภาค ทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษ มีทั้งที่ถูกใจเรา และไม่ถูกใจเรา ประเด็นสำคัญคือความสตรอง (ทำเสียงพี่มาช่าแป๊ป) เราต้องอยู่ให้ได้แม้ไม่มีใคร
สรุปคือปี 1 คือปีแห่งการเริ่มต้นใหม่ การปรับเปลี่ยนชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมการทำงานในอนาคต ชีวิตอีก 3 ปีส่วนหนึ่งก็ขึ้นกับการกระทำในปี 1 เป็นดั่งอีกหนึ่งชิ้นส่วนในชีวิตที่จะมาประกอบกับเป็นตัวเรานั่นเอง
ปี 1 คือปีที่เป็นน้องเล็กสุดสำหรับชีวิตมหาวิทยาลัย อันนี้ไม่นับเรื่องอายุนะ เพราะจะมีบางคนที่ "ซิ่ว" มา (#Me)
ปี 1 จัดได้ว่าเป็นปีแห่งการปรับตัวเลยก็ว่าได้ จากการที่สอบตกแล้วซ่อมได้ ตัดเกรดตามเกณฑ์ การมีเช็คชื่อเข้าห้องเรียน เคารพธงชาติ เป็นตื่นสายได้ เข้าเรียนจะเข้าหรือไม่เข้าก็ได้ (ถ้าวิชานั้นไม่มีเช็คชื่อ) มีน (Mean) คืออะไรที่สำคัญต่อชีวิตมากๆ งานนี้คิดว่าทุกคนคงเก่งเรื่องสถิติอย่างง่ายกันเลยทีเดียว เกรดก็ตัดตามเกณฑ์บ้าง กลุ่มบ้าง หรือตัดทั้งคู่ ซึ่งก็คือ ตัด F (0) ที่ 40 คะแนน A ที่ 95 คะแนน ที่เหลือตามเกณฑ์ สอบ 100% คือเรื่องปกติ
ในเรื่องการลงทะเบียนเรียน ในระบบของแต่ละมหาวิทยาลัยจะต่างกันไป อย่างเช่น ม. รัฐ แห่งหนึ่งย่านรังสิตจะมีระบบขอโควตาก่อน แล้วค่อยลงทะเบียนได้ หรือมหาวิทยาลัยที่เรียนอยู่จะเป็นกดลงทะเบียนได้เลย แต่ที่เหมือนกันคือการล็อคหมู่เรียน ซึ่งก็คือการล็อกที่ไว้ให้เราลงเรียนตามหลักสูตร แต่หลังจะนั้นจะเข้าสู่ช่วงปลดล็อก คือทุกคนสามารถลงทะเบียนได้ทุกราบวิชาที่สามารถลงได้ ทีนี้ก็จะมีการเปลี่ยนอาจารย์กันอย่างสนุกสนานกันเลยทีเดียว
เกรด จะเป็นอะไรที่สัมผัสได้ เริ่มที่จะต้องประเมินตัวเองว่าไหวไหม ดรอปดีรึเปล่า ต้องพิจารณาถึงสิ่งรอบข้าง มีนคือปัจจัย และ "ตัวเอง" คือคนตัดสิน
กิจกรรมมากมายที่จะได้สัมผัส รุ่นพี่ที่เพิ่มเข้ามาในชีวิต เพื่อนฝูงจากทุกสารทิศที่ทำความรู้จักกัน กิจกรรมที่ว่าไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่ทางมหาวิทยาลัยกำหนดเท่านั้น แต่รวมถึงกิจกรรมคณะ การรับน้อง กิจกรรมนามมหาวิทยาลัย ค่ายต่างๆ ค่ายอาสา ชมรมต่างๆและอีกอื่นๆอีกมากมาย ข้อดีคือ "ฟรี" ตลอดงาน แต่อีกมุมหนึ่งคือเป็นการสืบทอดทายาด (พี่เมทบอกว่าเป็นการ "คายตะขาบ" ต่อสายเลือด) มีการปลูกฝั่งความรัก ความภาคภูมิใจในคณะ และมหาวิทยาลัย ในทางกลับกับ ปีอื่นๆก็ต้องชดใช้กรรมโดยการจัดกิจกรรมตามที่ได้รับการปลูกฝังมา
(ระหว่างการรอรับเสด็จในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร กับรองเท้าพิธีการที่ทรมานเหลือเกิน)
ภาคเรียนนั้นแบ่งตามกระทรวงกำหนด คือ 2 เทอมเช่นเดิม เพิ่มเติมคือมี Summer ซึ่งแล้วแต่มหาวิทยาลัยว่าจะเอามารวมในเทอมไหน แต่ถ้าถามความรู้สึกในใจ มันเหมือนมี 6 เทอมชัดๆ ทุกการสอบเหมือนจะออกมาเป็นข้อสอบ Final เนื้อหาที่เรียนจะต่อเนื่องกัน แต่จะไม่ทับซ้อนกัน บางทีก็ไม่มีส่วนที่เกี่ยวข้องกันเลยสำหรับในมหาวิทยาลัยที่เรียน ปี 1 จะเป็นปีที่ทุกคนเรียนเหมือนกันหมดทุกภาค มีวิชาคณะ 2 ตัวที่สลับกันเรียน และเป็นวิชาสำคัญมีผลต่อการสอบใบ กว. นั่นก็คือวิชา Engineering Drawing และ Computer and Programing ซึ่งในปีที่ 2 จะเริ่มเข้าวิชาภาค
ความรับผิดชอบ ที่ต้องเพิ่มมากขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เพราะที่มหาวิทยาลัยไม่มีใครมาจ้ำจี้จ้ำไชคุรให้มานั่งอ่านหนังสือ หรือส่งงาน มีแต่จะส่งหรือไม่ส่ง จะอ่านหนังสือหรือไม่อ่านทุกอย่างก็อยู่ที่ความรับผิดชอบของคุณทั้งสิ้น (ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องอ่านกันทั้งนั้น)
เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ย่อมมีความหลากหลายมากขึ้น ทุกคนมาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งในและนอกคณะ ในภาคและนอกภาค ทั้งภาคปกติ และภาคพิเศษ มีทั้งที่ถูกใจเรา และไม่ถูกใจเรา ประเด็นสำคัญคือความสตรอง (ทำเสียงพี่มาช่าแป๊ป) เราต้องอยู่ให้ได้แม้ไม่มีใคร
สรุปคือปี 1 คือปีแห่งการเริ่มต้นใหม่ การปรับเปลี่ยนชีวิตเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่สังคมการทำงานในอนาคต ชีวิตอีก 3 ปีส่วนหนึ่งก็ขึ้นกับการกระทำในปี 1 เป็นดั่งอีกหนึ่งชิ้นส่วนในชีวิตที่จะมาประกอบกับเป็นตัวเรานั่นเอง
3.06.17
สู้ซัมเมอร์ต่อไป
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น